โบรกแนะซื้อหุ้น อสังหาฯ
“ซีจีเอส -ซีไอเอ็มบี” ชี้ กลุ่มอสังหาฯออกเคมเปญกระตุ้นยอดขายตั้งแต่ต้นปี กดดันกรอสมาร์จินปีนี้ทรงตัว พร้อมคาดกำไรสุทธิโต 10% จากปีก่อน ตามเศรษฐกิจฟื้นตัว โควิดหนุนยอดขายบ้านโตเด่น ส่วนมาตรการภาษี หนุนกำไรเพียง 1-2% ด้านกสิกรไทย ชี้ ขณะนี้เป็นจังหวะ ซื้อหุ้น เก็งผลดำเนินงานปีนี้ปรับตัวดีขึ้น จากปีก่อนลดลง 20%
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.).ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดปีนี้กำไรสุทธิ กลุ่มอสังหาฯ(8 บริษัท )จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ 24,874 ล้านบาท จากปี 2563 คาดอยู่ที่ 22,597 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการ ซื้ออสังหาฯฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ
ขณะที่ มาตรการลดภาษีที่ดิน, ค่าโอน และค่าจดจำนองเป็นบวกต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีพอร์ตบ้านมูลค่า ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 1-2%ของกำไรสุทธิรวมของกลุ่ม โดยผู้พัฒนาอสังหาฯที่จะได้รับผลดีจากมาตรการดังกล่าวมี 4 ราย ที่มีพอร์ตบ้านที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท คือ บมจ. แสนสิริ(SIRI), บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH), บมจ. ศุภาลัย(SPALI), บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN)
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (กรอสมาร์จิน)ปีนี้ ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์คาดจะทรงตัว เพราะ ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีบริษัทอสังหาฯได้มีการจัดแคมเปญ เพื่อระบายสต็อกต่อเนื่อง ซึ่งมีการลดราคา ฟรีส่วนกลาง อยู่ฟรี ฟรีค่าธรรมเนียม การโอน ฯลฯ โดยสาเหตุที่บริษัทอสังหาฯจัดโปรโมชั่นตั้งแต่ต้นปี เพราะระบายสต็อก ยังไม่หมด และโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ทำให้เริ่มไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจปีนี้ จะเป็นอย่างไร จึงเร่งการขายตั้งแต่ต้นปี ดีกว่าที่จะเป็นเร่งในช่วงปลายปี ซึ่งอาจจะทำให้ราคาขายไม่ดี มาร์จินต่ำ และ เร่งปิดโครงการที่เหลือน้อยแล้ว เพื่อเป็นการลดต้นทุน
นายกิติชาญ กล่าวว่า สำหรับคำแนะนำหุ้นกลุ่มอสังหาฯปีนี้ ยังลงทุนได้เพราะ ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ต้องเลือกเป็นรายตัว ที่กำไรเติบโต แต่ต้อง ติดตามว่าปีนี้ ธปท.จะมีการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV หรือไม่ ซึ่งหากมีการผ่อนคลายจะส่งผลดี รวมถึงนักลงทุนต่างประเทศ จะกลับมาได้เร็วแค่ไหน ซึ่งหากวัคซีนมา และโควิด-19 คลี่คลายก็จะยิ่งส่งผลดี
ปัจจุบันหุ้นอสังหาฯที่บริษัทแนะนำ คือ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH), บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ SPALI เนื่องจาก คาดรายได้และ กำไรสุทธิของทั้ง 3 บริษัท จะเติบโตได้มาก 10% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มในปีนี้ โดย LH กำไรสุทธิโต 10.40% QH โต19.7% และ SPALI โต 17.7% เพราะ เป็นบริษัทที่มีสัดส่วนโครงการอสังหาฯที่เป็นแนวราบ สัดส่วนสูง ซึ่งปีนี้คาดว่าโครงการแนวราบ จะมียอดขายที่ดี จากพฤติกรรมของประชาชนหันมาอยู่บ้านมากขึ้น เพราะ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเริ่มเห็นเทรนด์มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว ประกอบกับยังมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงเฉลี่ย 5-7% โดยให้ราคาเหมาะสม LH ที่ 19.90 บาท QH ที่ 2.74 บาท และSPLAI ที่ 23.40 บาท
นายสรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิของกลุ่มอสังหาฯ(11 บริษัท ) เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2563 ที่คาดกำไรสุทธิ ลดลง 20% เนื่องจากสถานการณ์ภาคธุรกิจอสังหาฯในปีนี้ยังเผชิญภาวะเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว แต่ถือว่าดีขึ้นกว่าปีก่อน เพราะ การคุมเข้มการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นเฉพาะบางพื้นที่ รวมถึงภาครัฐต่ออายุมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ มองว่า เป็นเรื่องดี ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับ ผู้ประกอบการและผู้ซื้อบ้านได้บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เพราะด้วยเงื่อนไขการช่วยเหลือจำกัดราคาบ้านระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีจำนวนไม่มากคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของทั้งตลาด และในปีที่ผ่านมามาตรการดังกล่าว ไม่ทำให้ รายได้ภาคอสังหาฯ เติบโต เพียงช่วย ประคับประคองไว้ ด้วยปัจจัยหลักการ ตัดสินใจซื้อบ้านขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและเงินในกระเป๋า ทำให้ผู้ซื้อแม้จะมี ความต้องการแต่ยังไม่มีความจำเป็นอาจเลื่อน การซื้อไปก่อนรวมถึงในปีนี้เช่นกัน
ทั้งนี้จากที่ผู้ประกอบการจะมีการจัดโปรโมชั่น อาจจะทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจ ซื้อง่ายขึ้น แต่โปรโมชั่นปีนี้น้อยกว่าปีก่อน เพราะด้วยสถานการณ์ปีนี้ที่ผู้ประกอบการมีสถานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น เตรียมตัวมาดี ทำให้ยังไม่มีความจำเป็นต้องขายสินค้า ในราคาต่ำกว่าปกติ
แต่อย่างไรก็ตามแม้ช่วงต้นปีนี้ ตลาดอสังหาฯ ภาพรวมยังไม่เป็นบวกมากนัก ผู้ประกอบการยังรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมและคุมการแพร่ระบาด โควิด-19 ยังไม่เริ่มทำการตลาดอย่างหนัก แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่ง ภาพเป็นบวกมากขึ้น จากผู้ประกอบการเตรียมเปิดโครงการบ้านใหม่ และทำการตลาดมากขึ้น
ดังนั้น ในไตรมาสแรกของปีนี้ ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ที่โดนปัจจัยลบกดดัน ราคาทรงตัว หรือปรับตัวขึ้นลงไปตามดัชนี จึงมองว่า เป็นโอกาสทยอยเข้าสะสมหุ้นกลุ่มนี้ได้ เพื่อขายทำกำไรในช่วงปลายปี เมื่อกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้นทำให้ยอดขาย เติบโต แนะหุ้นที่น่าลงทุนได้แก่ AP ราคา เป้าหมาย 8.50 บาท มีอัพไซด์ 17% , SPALI ราคาเป้าหมาย 22.25 บาท มีอัพไซด์ 10% และ LH ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท มีอัพไซด์ 20%
Reference: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ