LPNเล็งตลาดอสังหาโต10%ล็อกเป้าขายแตะ1.3หมื่นล้าน
นายวาริช มีเหมือน ผู้จัดการฝ่ายการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ในเบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ที่ไม่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับปี 2566 นี้ หรือมีมูลค่ารวมที่ประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้บริษัทมีที่ดินเพียงพอรองรับสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่แล้ว
ปี 67 ตลาดโต 5-10%
ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาจัดซื้อที่ดินใหม่ เบื้องต้นคาดว่าในปี 2567 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 2-3 โครงการ หรือมีมูลค่ารวมเฉลี่ยราว 3,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับปีนี้ที่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเพียง 1 โครงการ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับยอดขายในปีหน้าได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้โดยปกติหลังจากที่มีการซื้อที่ดินใหม่จะมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายในระยะเวลา 6 เดือน
ภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/2566 ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาค่อนข้างไปได้ดี แต่มีสัญญาณว่าในช่วงเดือนธันวาคมนี้ บรรยากาศอาจเงียบเหงา ดังนั้น บริษัทจึงเร่งในการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดยอดขายใหม่ๆ มากขึ้นในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2566 นี้ ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสร้างแรงกดดัน แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดตอนไหน ก็มีผลต่อการขอสินเชื่อของลูกค้าในระดับกลาง และล่าง
โดยยอดการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject rate) ปัจจุบันหลังจากที่มาตรการ LTV ลดลงไปแล้ว อยู่ที่ราว 40% หากแบ่งเป็นแนวราบเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30-40% ขณะที่คอนโดมิเนียมเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 50% ต้องยอมรับว่าค่อนข้างสูงมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 ระบาด อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 5-10% ซึ่งบริษัทก็มองว่าจะเติบโตสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
เปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่
แผนการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Place 168 Wutthakat มูลค่า 860 ล้านบาท และ โครงการ Venue 24 Pracha Uthit 90 มูลค่า 1,150 ล้านบาท โดยโครงการแนวราบจะมีการเปิดพรีเซลในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 นี้ คาดว่าการโอนกรรมสิทธิและรับรู้รายได้จะเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2-3/2567 เป็นต้นไป ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมคาดว่าจะมีการเปิดตัวในช่วงเดือนธันวาคมนี้
ประกอบกับบริษัทยังมีสต๊อก (Inventory) พร้อมขายรวมกว่า 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมประมาณ 6,000 ล้านบาท ที่เหลือราว 1,500 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ ซึ่งสามารถขายและทยอยรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้บริษัทยังมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้เป็นรายได้อยู่ในมือ (Backlog) อีกกว่า 2,812 ล้านบาท ที่คาดว่าจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้ประมาณ 800-900 ล้านบาท ในส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายไว้ที่ไม่น้อยกว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทสามารถสร้างยอดขายใหม่ไปได้แล้วกว่า 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 61% ของเป้าหมายยอดขาย มองว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะสามารถเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายใหม่ได้เพิ่ม และสนับสนุนให้ยอดขายรวมของทั้ง ปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
Reference: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น