ค้านแหลกเลิกผ่อนปรนแอลทีวี
ชี้ฉุดภาพรวมอสังหาฯปีหน้าวูบ
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ต่ออายุมาตรการแอลทีวีหรือหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยว่า ไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็มที่ อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบกับกำลังซื้อ รวมไปถึงเงินเฟ้อและราคาต้นทุนสินค้ายังปรับตัวสูงขึ้นอีก
“ไม่ทราบว่าทาง ธปท. มองว่าเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวได้อย่างไร เพราะการเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้น อีกทั้งปีหน้ายังมีการคาดการณ์กันอีกว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดีขณะที่ส่งออกไทยก็คาดว่าจะลดการเติบโตลง ซึ่งอาจเป็นความเข้าใจที่ตรงข้ามกับหลายฝ่ายหรือไม่ เพราะขนาดกระทรวงการคลังเอง ยังอยู่ระหว่างพิจารณาการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง ซึ่งมาตรการจะสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 65 นี้ ออกไปอีก”
นอกจากนี้ ในกรณีที่ ธปท. มองว่าการต่อมาตรการแอลทีวีจะทำให้เกิดการซื้อเก็งกำไรและส่งผลต่อระดับหนี้ครัวเรือนนั้น อยากให้วิเคราะห์ให้ชัดเพราะปัญหาหนี้ครัวเรือนปัจจุบันไม่ได้มาจากการบริโภคที่อยู่อาศัย เพราะเป็นการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นการกู้ซื้อที่มีหลักประกันเป็นสินทรัพย์ แต่หนี้ครัวเรือนเป็นการกู้ข้างเดียว เช่น การใช้บัตรเครดิตที่ไม่มีสินทรัพย์งอกเงยขึ้นมา โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีจะนำบัตรเครดิตไปใช้รูดซื้อสินค้าหรือกดเป็นเงินสดและสุดท้ายไม่มีเงินผ่อนชำระจนติดเครดิตบูโร
นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า การไม่ต่ออายุมาตรการแอลทีวีคาดว่าจะกระทบต่อจิตวิทยาด้วยความเชื่อมั่นกำลังซื้อกลุ่มอสังหาฯ ในภาพรวมได้ในระดับหนึ่ง แม้ผลกระทบที่แท้จริงจะกระทบเฉพาะกำลังซื้อระดับบนในกลุ่มบ้านราคาระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นปัจจุบันกลุ่มราคาดังกล่าวมีเพียง 20% ในตลาด แต่ถือเป็นกลุ่มสำคัญที่ช่วยพยุงให้ตลาดอสังหาฯ ช่วงที่ผ่านมาเติบโตขึ้นได้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจ กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว
ทั้งนี้ จึงคาดว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 66 ไม่เติบโตหรืออาจติดลบ บวกกับคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้ายังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และราคาต้นทุนสินค้า ค่าแรง ต่าง ๆ ที่จะสูงขึ้น จากปี 65 นี้ ที่คาดว่าเติบโต 10% หลังจากตลาดเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังด้วยปัจจัยการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ การจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย การจำหน่ายในราคาพิเศษเป็นต้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์