ทาวน์เฮ้าส์-คอนโด ปฏิเสธสินเชื่อสูง

23 Feb 2022 1,197 0

          ‘เฟรเซอร์สโฮม’ รุกบ้านเดี่ยว ‘ซูเปอร์ลักชัวรี’

          ตัวเลขปฏิเสธสินเชื่อในตลาดที่อยู่อาศัยประเภท “ทาวน์เฮ้าส์” พุ่งสูง 60-70% จากปัญหากำลังซื้อซบเซา รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งที่หนีตาย มาจาก “คอนโดมิเนียม” หันมาทำทาวน์เฮ้าส์ มากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นโจทย์ใหญ่ให้ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” มุ่งเปลี่ยนแลนด์สเคปใหม่เปิดเกมรุกบ้านเดี่ยวระดับ ซูเปอร์ลักชัวรี ซีตี้โฮม!

          แสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดแนวสูงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม จึงเปลี่ยนแลนด์สเคปใหม่ มาสู่ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ ซูเปอร์ลักชัวรี ซีตี้โฮม ราคา 8-200 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์แกรนดิโอ, เดอะแกรนด์ และเดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์

          ทั้งนี้ ตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อทาวน์โฮมสูงถึง 60-70% ขณะที่บ้านเดียวอยู่ที่ 10-20% เพราะกลุ่มนี้มีคนซื้อเงินสด 10% ส่วนตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อบ้านแฝด 40% ต่ำกว่าทาวน์โฮม แต่ยังสูงกว่าบ้านเดี่ยว แสดงให้เห็นว่า ยิ่งสินค้าราคาสูงยอดการปฏิเสธสินเชื่อต่ำ!

          โดยสัดส่วนรายได้เดิมเป็นทาวน์เฮ้าส์ 55-60% บ้านแฝด 20% บ้านเดียว 10% ต่างจังหวัด 10% ปัจจุบันเปลี่ยนมาบ้านเดี่ยว บ้านในเมือง ซูเปอร์ลักชัวรี 35% เป็นบ้านแฝด 20% ทาวน์เฮ้าส์35% ต่างจังหวัด 12%

          ”ตลาดลักชัวรีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ข้อดี คือ มีความน่าเชื่อถือ และทำเลที่จะทำได้ไม่มาก ฉะนั้นการเลือกทำเลเป็นการขจัดคู่แข่งออกไปได้อย่างหนึ่ง และคนที่ไม่เคยทำบ้านแพงจะไม่มีความเข้าใจทำออกมาแล้วขายไม่ได้ เป็นตลาดที่ทำยากกว่าตลาดล่าง ลูกค้าซื้อเพื่อขยายครอบครัว อยากได้พื้นที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเกิดโควิดความต้องการมากขึ้น”

          แสนผิน กล่าวต่อว่า เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม มุ่งสู่ผู้นำในการเปลี่ยนฟังก์ชั่นบ้านแต่ละเซกเมนต์ที่สร้างความแตกต่าง ล่าสุดชูจุดขาย “สระน้ำในบ้าน” ระดับราคาไม่ถึง 20 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “แกรนดิโอ” นับเป็นรายแรกเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับบ้านระดับราคา 12-15 ล้านบาท ที่หากจะมีสระว่ายน้ำในบ้านได้จากปกติต้องราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ถือเป็น นวัตกรรมของบ้านเดี่ยว รวมทั้งระบบปิดเปิดอัตโนมัติ มี EV Charger

          ปัจจุบัน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม กระจายพอร์ตสินค้า เพิ่มแบรนด์ให้หลากหลาย แบ่งเป็นตลาดล่าง ทาวน์โฮมแบรนด์โกลเด้น ทาวน์ ราคา 2-5 ล้านบาท บ้านแฝดแบรนด์นีโอ ราคา 5-8 ล้านบาท บ้านเดี่ยวแบรนด์แกรนดิโอ ราคา 8-20 ล้านบาท ซิตี้โฮมแบรนด์เดอะแกรนด์ ราคา 20-60 ล้านบาท และซูเปอร์ลักชัวรี แบรนด์เดอะ รอยัล เรสซิเดนซ์ ราคา 20-200 ล้านบาท

          ”สินค้าราคาสูงระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปนั้น แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเพราะรู้ค้าเกิดความเชื่อมั่น แต่ถ้าเป็นทาว์นโฮมและคอนโดขึ้นอยู่ราคา โลเคชั่นเป็นหลัก “

          สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 ตั้งเป้ารายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากโครงการที่เปิดขายแล้ว 62 โครงการ มีการเปิด 25 โครงการใหม่ มูลค่า 29,500 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์โฮม 10 โครงการ, นีโอ โฮม บ้านแฝด 2 โครงการ, บ้านเดี่ยว 10 โครงการ และ โครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ

          “90% ของที่ดินที่พัฒนาโครงการใหม่ 25 โครงการเป็นที่ดินเก่าที่ซื้อมานานแล้ว จึงมี ต้นทุนราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งถือว่าได้เปรียบในการ พัฒนาโครงการท่ามกลางราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่ดิน วัตถุดิบ แรงงาน สูงขึ้นถึง10%”

          บริษัทยังได้เตรียมงบ 300-400 ล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดโลว์ไรส์ ในปี2566 ถือเป็นสเต็ปที่ 3 ของการเปลี่ยนแลนด์สเคปใหม่เพื่อการเติบโตยั่งยืน ตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ของคอนโดอยู่ที่ 20% ในปี 2568

         สัญญาณบวกตลาดฟื้น

         ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดตัวโครงการอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล เดือน ม.ค.2565 รวม 7,450ยูนิต เพิ่มขึ้น 441% คิดเป็นมูลค่ารวม 27,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 247% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2564 เป็นผลมาจากผู้ประกอบการได้ชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่ระบาดต่อเนื่อง ประกอบกับจำนวนสินค้าคงเหลือพร้อมขาย (Inventory) ในตลาดลดลง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่ม สินค้าเข้ามาในตลาด

          ”ผู้ประกอบการเริ่มมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯ จะฟื้นตัวในปี 2565 ซึ่งได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ในปี 2564 และเศรษฐกิจปีนี้น่าจะเติบโตได้ 3.5-4% ตามคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒน์ จึงเริ่ม ทยอยลงทุน และนำโครงการที่ชะลอแผนไว้ มาเปิดตัวปีนี้เพื่อเพิ่มยอดขาย และทดแทนสินค้าคงเหลือที่มีแนวโน้มลดลง”

          เฉพาะผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 17 บริษัทในปี 2565 พบว่า มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯปริมณฑลไม่น้อยกว่า 329 โครงการ มูลค่ารวมราว 438,120 ล้านบาท ไม่น้อยกว่า 60% เป็นโครงการบ้านพักอาศัย

 

Reference:

Click icon to remove from or add to favorite list
Click to choose and click "Compare" button