สัมมากร พลิกเกมลดเสี่ยง-ปั๊มกำไร
บุษกร ภู่แส
กรุงเทพธุรกิจ
ยุคหลังโควิด-19 การทำธุรกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น ดีเวลลอปเปอร์เก่าแก่ 51 ปี อย่าง “สัมมากร” ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถือเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง ที่ได้รับความเชื่อถือมายาวนาน ต้องเร่งปรับตัว! เช่นกัน เพื่อรักษาฐานส่วนแบ่งในตลาดเดิม และรุกคืบไปสู่ตลาดใหม่ ๆ โดยเสริมพอร์ตโฟลิโอด้วยการแตกแบรนด์ขยายสู่ตลาด “ลักชัวรี"กรุยทางสร้างรายได้เพิ่ม นอกจากนี้มองถึง การขยาย “คอมมูนิตี้มอลล์” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ สร้างรายได้ประจำเพิ่มอีกทางหนึ่งด้วย
“ณพน เจนธรรมนุกูล” กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) มองว่า แบรนด์สัมมากรที่อยู่คู่ประเทศไทยมากว่า 5 ทศวรรษ นับเป็น“จุดแข็ง” ที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งได้เป็นอย่างดี
ก้าวสู่ทศวรรษที่ 6 สัมมากร มองเห็นถึง “Pain Point” ของลูกบ้าน และการที่พัฒนาโครงการที่มีข้อจำกัดทางด้าน “ราคา” และ “ต้นทุน” ทำให้ไม่สามารถนำเสนอบริการให้กับลูกบ้านได้มากนัก
หลังจากเกิดวิกฤติโควิด-19 จึงอยาก ขยับมาทำให้เซ็กเมนต์ที่ลูกค้าที่กำลังซื้อสูงขึ้น เพื่อสามารถพัฒนาโครงการที่มีฟังก์ชั่น และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มขี้นได้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเป็นการใช้ประโยชน์ (Utilize) จากกลุ่มคนที่รู้จักแบรนด์สัมมากรมาต่อยอดจากรุ่นคนรุ่นก่อนมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปสู่คนรุ่นใหม่ ที่มีอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนเริ่มมีฐานะอยากมีบ้านสร้างครอบครัวและมีลูก จึงเปิดตัวโครงการโพรวิเดนซ์ เลน บ้านลักชัวรีที่มีระดับราคา 30 ล้านบาท ออกมานำร่อง
“แนวทางการปรับตัวของสัมมากรคือไดเวอร์ซิฟายไปสู่เซกเมนต์ ลักชัวรี เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง เมื่อเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากนี้พยายามที่จะ ไดเวอร์ซิฟายทำเลด้วยการ ขยับเข้ามาในเมืองมากขึ้นจากก่อนหน้านี้จะอยู่ชานเมือง”
ณพน กล่าวต่อว่า ต่อจากนี้ไปสัมมากรจะทำแบรนด์ เซ็กเมนเตชั่นหลากหลายขึ้น! จากเดิมที่มีจำนวนโครงการไม่มาก ใช้ “สัมมากร” แบรนด์เดียว ไม่ว่าจะขายบ้านราคาเท่าไร แต่พอเริ่มทำสินค้าในเซ็กเมนต์ ต่างกันก็เริ่มทำเซ็กเมนเตชั่น ของแบรนดิ้ง อาทิ โครงการ โพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา เป็นบ้านลักชัวรีใกล้เมือง มีขนาดโครงการไม่ใหญ่มาก มีความเป็นโมเดิร์นเพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่
ในปี 2565 จะมีแบรนด์ลักชัวรี อีก 2 แบรนด์ที่จับกลุมเป้าหมายต่างกัน มีความเป็นครอบครัวมากขึ้นภายใต้ร่มแบรนด์สัมมากรที่สร้างความน่าเชื่อถือในการขยายเซ็กเมนต์ พรีเมี่ยม
ปัจจุบัน บริษัทมีแผนที่บ้านเดี่ยว หลายเซ็กเมนต์ตั้งแต่ระดับราคา 4 ล้านบาท ขยายสู่เซ็กเมนต์ 5-7 ล้านบาท รวมทั้งระดับราคากว่า 20 ล้านบาท นอกจากนี้จะมีอีกแบรนด์ที่ระดับราคา 40-60 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้มีทาวน์โฮมแบรนด์ อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน, สุวรรณภูมิ, คู้บอน ระดับราคา 3 ล้านบาท ซึ่งต่อจากนี้จะเป็นการพัฒนาแบรนด์ใหม่ บาย สัมมากร ที่กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่มีความต้องการต่อเนื่อง
“วิกฤติโควิดทำให้ทุกคนมองเห็น ถึงความสำคัญของบ้านมากขึ้น!! เพราะทุกคนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน พื้นที่ๆ เคยมีอยู่ไม่เพียงพอ จากคนที่อยู่คอนโดมิเนียมมองหาบ้าน จากคนที่อยู่ทาวน์เฮ้าส์อยากได้ บ้าน เพราะมีพื้นที่ให้ทุกคนทำกิจกรรม ของตนเองได้ โควิดเป็นตัวกระตุ้น ดีมานด์บ้าน”
ถือเป็นโอกาสใหญ่ของ “สัมมากร"ในการออกแบบบ้านให้ทุกคนได้มีพื้นที่ มีมุมทำกิจกรรมของตนเองและมีมุมที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันมากขึ้น เพราะบ้าน “ไม่ใช่“แค่ที่นอนอีกต่อไป ซึ่งคนส่วนหนึ่งเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำงานนอกบ้านมาทำงานที่บ้านแล้ว
สัมมากร ยังมีแผนหารายได้ เพิ่มจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ ( recurring income) ซึ่งที่ผ่านมาทำธุรกิจตลาด “สัมมากร เพลส” ซึ่งเป็น “คอมมูนิตี้มอลล์” ที่เป็นที่รู้จัก ณพน ระบุว่า มีแผนที่ขยาย “ธุรกิจตลาด” ต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้ และเป็นการบริหารความเสี่ยงให้บริษัทมีรายได้ประจำเข้ามา รองรับกรณีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะลอตัว
โดยปี2565 มีแผนขยายตลาดอย่างน้อย 2 แห่ง เป็นการขยาย เฟสเดิมที่ตลาดเมืองเอก และ เปิดตัวตลาดใหม่ 1-2 แห่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
“วิกฤติโควิดที่ผ่านมา กระทบตลาดค่อนข้างน้อย ลูกค้ายังมาใช้บริการแต่ใช้เวลาในการ จับจ่ายใช้สอยเร็วขึ้น ในช่วงล็อกดาวน์ ลูกค้ารีบซื้อรีบกลับ กลุ่มที่ได้รับผล กระทบคือคนที่ขายของเบ็ดเตล็ด ซึ่งตลาดสัมมากรส่วนใหญ่ขายอาหารปรุงเสร็จและอาหารสดจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนักแม้จะมีช่องทางออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น”
ตลาดมีเสน่ห์!! ช่วยในการสร้าง คอมมูนิตี้ขึ้นมาให้แข็งแรงขึ้น ทำให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ ตามมา ประกอบกับพฤติกรรมคนไทยชอบเดินตลาด ได้อารมณ์และบรรยากาศ มากกว่า การซื้อของออนไลน์ อย่างไรก็ดี “ตลาด” ต้องปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ของผู้คนที่เปลี่ยนไปในยุคนิวนอร์มอลด้วย
ปัจจุบัน สัมมากร มีรายได้จากการขายบ้าน 90% อีก 10% มาจากตลาด เมื่อเทียบกำไรแล้ว ตลาดจะให้กำไรดีกว่าบ้าน และในอนาคตบริษัทจะบาลานซ์สัดส่วนรายได้ระหว่างการขายบ้านและตลาดเท่าๆ กันเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ